สมัยเด็กๆ คุณครูมักจะถามเสมอว่า “โตขึ้นหนูอยากเป็นอะไร” ถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้มที่รู้ทั้งรู้ว่าเด็กจะตอบแบบไหน ซึ่งคำตอบยอดฮิตของเด็กๆ ก็มักจะตอบว่า “ผมอยากเป็นทหารครับ จะได้รับใช้ชาติ” “หนูอยากเป็นหมอค่ะ จะรักษาคนป่วย” “ผมอยากเป็นครูครับ เพราะผมอยากเป็นเหมือนคุณครู จุ๊บๆ” แต่ในหัวผมตอนนั้นเชื่อมั้ยครับว่า อาชีพพวกนี้มันไม่ได้อยู่ในหัวเลยแม้แต่น้อย เพราะอาชีพที่อยากเป็นมีหลายอย่างมาก กระเป๋ารถเมล์ เพราะมันเท่เหลือเกิน เกาะราวเหล็ก โยกตัวออกมานอกรถ และตะโกนว่า “ไปไหนเพ่ ด้านในเลยเพ่” พร้อมกระโดดลงจากรถโดยที่รถไม่ต้องจอดสนิท วิ่งมาหาแม่เราพร้อมช่วยหิ้วกระเป๋าขึ้นรถทัวร์ โอ้ย เท่ชิบ นั่นละฮะ อาชีพแรกที่ผมอยากเป็น แต่สุดท้ายมันก็ไม่มีคำว่าพอเพียง เพราะเห็นอะไรที่เราสนใจเข้าหน่อยก็อยากเป็นไปซะหมด แม้กระทั่งคนขับรถแบคโฮ หรือรถสิบล้อ ที่ผมชอบไปนั่งดูตอนเด็กๆ ก็วนเวียนอยู่ในหัว ว่าโตขึ้นต้องทำให้ได้
แต่นั่นมันก็คือความฝันของเด็กๆ ที่ผู้ใหญ่หลายคนมักมองว่า มันไม่เป็นจริง และโอกาสมันยากเสมอ เพราะโตมาสมองมันจะเปลี่ยนความคิดของเด็กเหล่านั้น ให้อยากเป็นในแบบอื่นๆ เพราะเมื่อเราโตขึ้น จะต้องเจอะเจออะไรอีกหลายอย่างในสังคม ความคิดก็จะหมุนเปลี่ยนไปตามกาลเวลา และเปลี่ยนไปตามสังคมที่เราอยู่ แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้ใหญ่ หรือคุณครูไม่ควรทำ นั่นคือการไปขีดเส้น หรือชี้นำความคิดสร้างสรรค์ของเด็กเหล่านั้น เพราะมันจะเป็นการจำกัดโลกและความคิดของเด็กให้แคบลง ซึ่งสาเหตุที่พูดถึงเรื่องนี้เพราะดันไปเจอบทความอยู่บทความหนึ่ง จาก techcrunch.com โดยมีผู้เป็นพ่อโพสท์ระบายถึงความไม่เหมาะสมของคุณครูท่านหนึ่ง ซึ่งเรื่องนี้เกิดขึ้นที่อเมริกาไม่ใช่บ้านเรา อย่าเพิ่งรีบตกใจกันซะก่อน
เรื่องมีอยู่ว่า ….นาย Matt Burns โพสท์บทความถึงคุณครูท่านหนึ่งกับหัวเรื่องที่ว่า Dear Teacher, A Video Game Developer Is A Real Job And Should Be Celebrated โดยมีใจความแบบคร่าวๆ ว่า
วันนี้เป็นวันอาชีพของโรงเรียนลูกชาย และเด็กน้อยคนนี้ก็ชื่นชอบในการเล่น Minecraft และฝันอยากจะเป็นนักพัฒนาวิดีโอเกม ดังนั้นวันนี้เขาสวมเสื้อ Minecraft ที่เขาชื่นชอบและภาคภูมิใจไปโรงเรียนของเขาในฐานะนักพัฒนาวิดีโอเกม แต่ครูของเขากลับไม่คิดเหมือนหนูน้อยคนนั้น เธอสั่งให้เขาไปนั่งอยู่ด้านนอกห้องกิจกรรม สาเหตุก็เพียงแค่ ความคิดของคุณครูมองว่า นักพัฒนาเกมไม่ได้เป็นงานที่แท้จริง…. แค่นั้น
พอผมได้อ่านและใช้ Google นั่งแปลก็ถึงกับแปลกใจเหมือนกันว่า ประเทศอเมริกาเมืองฟ้าอมร ที่เปิดกว้างสำหรับทุกสายอาชีพ ยังมีคนที่มีความคิดแบบนี้อยู่อีกหรือ ตอนแรกคิดว่าคงจะมีแค่บ้านเราเท่านั้นที่ยังคิดกันแบบนี้ แต่สุดท้าย ความคิดที่มองสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบและถูกตัดสินว่าไม่ดีก็ยังแทรกซึมอยู่ในทุกเชื้อชาติ แม้แต่อเมริกา ประเทศที่เราคิดว่านักพัฒนาเกมน่าจะเป็นที่ยอมรับของสังคม แต่สุดท้ายมันก็ต้องมีบางกลุ่มที่คิดติดลบกับอาชีพนี้อยู่เสมอ
ที่ต้องอ้างอิงถึงต่างประเทศแบบนี้ก็เพียงแค่ให้เราคิดบวกซะ ว่าไม่ใช่แค่บ้านเราหรอกครับที่มีเรื่องทำนองนี้ เพราะตราบใดที่เกม ยังมีบุคคลที่เรียกว่าเด็กเขาไปมีส่วนเกี่ยวข้อง และส่งผลถึงการใช้ชีวิต การศึกษาที่ถอยหลัง หรือการเดินในทางที่ผิดที่เรียกว่าเลียนแบบเกม ทางผู้ใหญ่ก็ยังคงมองวงการนี้ติดลบอยู่เสมอ ทั้งๆ ที่บางครั้งมันก็มาจากปัจจัยอื่นๆ ประกอบ ซึ่งเป็นสิ่งที่เลือกจะไม่มอง เพราะประเด็นสำคัญนั่นคือเกมมันมอมเมาเยาวชน ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วมีหลายๆ ท่าน ที่หาเลี้ยงชีพ สร้างรายได้จากเกม เป็นนักโปรแกรมเมอร์ เป็นนักพัฒนาเกม และอะไรอีกหลายๆ อย่าง ที่ผมอาจจะกล่าวถึงไม่หมดไม่สิ้น แต่สุดท้ายเราก็ยังอยู่ในที่มืดเสมอมา แม้บางทีเอกชนหลายๆ ส่วนก็ยังเคยมีโครงการดีๆ ที่ต้องการให้เด็กเรียนรู้การเขียนโปรแกรมผ่านรูปแบบเกมส์ พื่อให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจก็เคยมีมาแล้ว
โครงการนักสร้างเกม Programmer Jr. Code Combat ของ SE-ED Learning Center
สุดท้ายไม่ว่าจะยังไง ต่อให้พูดปาวๆ ประกาศดังๆ ก็ไม่มีทางทำให้มันสว่างขึ้นมาได้ นั่นเพราะทัศนคติของคนเรามันเปลี่ยนกันยาก จากนี้ก็แค่ทำต่อไป ทำหน้าที่ของเราต่อไปถ้ายังมีแรง และทำอะไรคืนกลับให้สังคมบ้าง ไม่ได้เพื่อให้คนมองว่าเราดี แต่ให้เราทำดีต่อไปเพื่อวงการ อาชีพใครใครก็รัก หากยังต้องการทำงานในวงการนี้ เรื่องการใช้ทัศนคติที่ดีในการทำมาหากิน ผมว่าสำคัญมากกว่าจะมัวไปเสียเวลาแสดงความน้อยเนื้อต่ำใจที่หลายฝ่ายมองไม่เห็นค่าของเรา ทำงานของเราให้ดีเท่านั้นพอครับ