[Review] HyperX Pulsefire Haste 2 Wireless เมาส์เกมมิ่งไร้สาย น้ำหนักเบา สเปคเจ๋ง

2,638 views
Share

หลังจากที่คราวก่อน HyperX ส่งเมาส์เกมมิ่งไร้สายสุดเบามาให้เราได้ใช้กันไปแล้ว ล่าสุดก็ส่งเมาส์เกมมิ่งไร้สายรุ่นใหม่ เจนเนอเรชั่นที่ 2 อย่าง HyperX Pulsefire Haste 2 Wireless ซึ่งปรับรูปลักษณ์ใหม่เอี่ยมและมาพร้อมกับฟีเจอร์มากมายที่ถูกใจคอเกมเมอร์อย่างแน่นอน

สเปคของเมาส์ไร้สาย HyperX Pulsefire Haste 2 Wireless
– รูปร่าง: Symmetrical (แบบสมมาตร)
– น้ำหนัก 60 กรัม
– อายุแบตเตอรรี่: สูงสุด 100 ชั่วโมง
– เซ็นเซอร์: HyperX 26K Sensor
– ความละเอียด: สูงสุด 26000 DPI
– ค่า DPI ที่ตั้งได้: 400 / 800 / 1600 / 3200 DPI
– ปุ่ม: 6 ปุ่ม
– Speed: 650 IPS
– ความทนทานของปุ่มคลิกซ้าย/ขวา: 100 ล้านครั้ง
– การเชื่อมต่อ: แบบไร้สาย 2.4GHz / Bluetooth 5.0 /และแบบมีสาย
– Cable Type: HyperFlex 2 USB-C to USB-A แบบถอดได้
– ความยาวของสาย: 1.8m

แกะกล่อง
สำหรับกล่องของ HyperX Pulsefire Haste 2 Wireless ในครั้งนี้ยังมาในกล่องที่มีลักษณะคล้ายกับรุ่นแรกคือเป็นกล่องขาว-ดำ ซึ่งแน่นอนว่าต่างกจากรุ่นเก่าๆ ที่เป็นแดงมาซักระยะแล้ว โดยด้านหน้ากล่องมีแสดงรูปของเม้าส์เอาไว้อย่างชัดเจนพร้อมกับคำอธิบายจุดเด่นฟีเจอร์หลักๆ และแน่นอนว่ายังคงสโลกนเดิมคือ “Ultra-Lightweight” บ่งบอกว่าเป็นเมาส์เกมมิ่งที่เบามากๆ รวมถึงยังบ่งบอกว่ายังคงรองรับการใช้งานกับทั้ง PC และเครื่องเล่นเกมคอนโซล ส่วนด้านหลังก็จะมีบอกข้อมูลอุปกรณ์ภายในกล่อง

สำหรับรายละเอียดหน้ากล่องที่แตกต่างจากรุ่นแรกก็คือการระบุเพิ่มเติมในส่วนของการเชื่อมต่อแบบไร้สายที่คราวนี้มีทั้งแบบ 2.4GHz และแบบบลูทูธให้เลือกใช้งานเพิ่มเติม กับการเปลี่ยนแปลงเรื่องของเซ็นเซอร์มาเป็น HyperX 26K Sensor ซึ่งเพิ่ม DPI จากรุ่นที่แล้ว 16,000 มาเป็น 26,000 DPI แล้วนั่นเอง เหมาะกับคนที่ชอบความละเอียดในระดับสูง

ภายในกล่องเมื่อแกะออกมาแล้วจะเห็นเมาส์สีขาวที่บรรจุมาไว้อย่างดี มีกันกระแทกแบบใหม่ที่ดูหรูแต่เรียบ และพบกับความแตกต่างของรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไปจากรุ่นก่อนก็คือที่ตัวเมาส์จะไม่มีการเจาะรูระบายอากาศแล้ว ซึ่งบอกเลยเป็นผลดีสำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องของการไม่ชอบรู หรือคนที่เป็นโรคกลัวรูไปได้อย่างชิ้นเชิง แต่อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะไม่มีรูแล้วแต่ตัวเมาส์ก็ยังมีน้ำหนักเบาเท่าเดิมอยู่ที่ 61 กรัม

ด้านในกล่องยังมีทั้ง USB Receiver ขนาดเล็กที่ทำหน้าที่เป็นตัวรับ-ส่งสัญญาณ WiFi เมื่อเอาไปเสียบกับ PC หรือโน๊ตบุ๊ค แล้วด้วยความที่มีขนาดเล็กกระทัดรัดจึงทำให้ไม่เกะกะและประหยัดพื้นที่อย่างมาก และยังมีแผ่นกันลื่นที่ใช้แปะบนปุ่มกับแถบด้านข้างให้มาด้วยทั้ง PTFE Mouse Skate และ Grip Tape พร้อมกับคู่มือ แล้วยังมีสาย USB-C to USB-A รวมถึงสามารถแปลงเป็น USB-A ได้ โดยสายจะเป็น HyperFlex 2 USB Cable ไว้สำหรับใครที่ต้องการใช้งานแบบเสียบสายกับเสียบชาร์ทแบทนั่นเอง โดยสายจะมีความยาวถึง 1.8 เมตร

ลักษณะรูปร่างของเมาส์
อย่างที่บอกไปแล้วว่า HyperX Pulsefire Haste 2 Wireless จะต่างจากรุ่นแรกตรงที่ตัวเมาส์ไม่มีการเจาะรูแบบรังผึ้งเพื่อระบายอากาศอีกต่อไป แต่จะมีน้ำหนักที่เบาเท่าเดิม โดยจะเป็นผิวเรียบเนียนสีขาวไปด้วยกันและมีการใส่โลโก้ของ HyperX เพิ่มเข้ามาบริเวณด้านท้ายของเมาส์ด้วย ตัวเมาส์มีขนาด M หรือแบบกลาง ซึ่งทำให้จับถนัดมือใช้งานได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง

สำหรับปุ่มกดยังคงวางรูปแบบเอาไว้เหมือนเดิม ซึ่งความรู้สึกในการกดนั้นให้สัมผัสที่ดีมากและมีการตอบสนองที่รวดเร็วฉับไว ด้านบนมีปุ่มคลิ้กซ้าย-ขวาและยังมีปุ่มเล็กๆ ตรงกลางไว้สำหรับปรับ DPI กับปุ่มวงล้อหมุนหรือ Scroll mouse ที่ให้ความรู้สึกเวลาเลื่อนได้แบบมีสเตป ทั้งนี้ตรงตำแหน่ง Scroll mouse จะมีไฟ RGB แสดงอยู่ด้วยเพื่อความสวยงาม ส่วนด้านข้างด้านซ้ายตรงตำแหน่งนิ้วโป้งจะมีปุ่ม 2 ปุ่มให้กดอยู่ด้วย ไว้สำหรับเล่นเกม FPS หรือการตั้งค่ามาโครต่างๆ และสุดท้ายด้านหน้าจะเป็นพอร์ต USB-C ที่เอาไว้ใช้งานสำหรับการเสียบด้วยสายที่ให้มา การเสียบชาร์ทแบทหรือการอัพเฟิร์มแวร์ต่างๆ

สำหรับด้านใต้เมาส์ก็ยังมีการดีไซน์ช่องเอาไว้สำหรับใส่ตัว USB Receiver เพื่อเสียบเอาไว้ทำให้พกพาไปไหนมาไหนได้สะดวกเหมือนกับในรุ่นที่แล้ว ส่วนปุ่มเล็กๆ ที่เอาไว้ปิด/เปิดการใช้งานนั้น ในรุ่นใหม่นี้จะมีให้เราเลื่อนเพื่อใช้ตัวเลือกเพิ่มเติมในส่วนของการใช้แบบไร้สายทั้ง Wireless 2.4GHz หรือ Bluetooth ด้วย

ซอร์ฟแวร์ HyperX NGENUITY
หลายคนที่ใช้ HyperX NGENUITY มาก่อนจะรู้กันดีว่าเป็นซอร์ฟแวร์ที่เราสามารถเข้าไปปรับแต่งการใช้งานเมาส์ของเราได้ ซึ่งในรุ่นใหม่นี้ก็ยังสามารถเข้าไปปรับแต่งกันได้เหมือนเดิม ไม่ว่าจะในเรื่องของการปรับสี RGB ของเมาส์ การปรับลดความสว่าง หรือจะเป็นในส่วนของ Buttons ที่เราสามารถตั้งมาโครปุ่มหรือปุ่มคีย์ลัดต่างๆ ได้ ส่วนตรงหัวข้อ Sensor ก็มีให้เราได้ปรับเลือกค่า DPI settings เอาไว้ใช้งานในแบบที่เราต้องการ

ความรู้สึกหลังการใช้งาน
สำหรับการใช้งาน HyperX Pulsefire Haste 2 Wireless บอกเลยว่าการใช้เมาส์ไร้สายแบบน้ำหนักเบาสุดๆ มันคือสวรรค์อย่างแท้จริง มันช่วยลดในเรื่องของอาการปวดข้อมือไปได้อย่างเหลือเชื่อ ส่วนคนที่ยังเป็นห่วงในเรื่องของสัณญาณว่ามันจะติดขัด หรือมีปัญหาในการใช้งานมั้ย ขอยืนยันเลยว่าหายห่วงได้เลย ยิ่งมีเซ็นเซอร์ตัวใหม่พร้อมกับการเพิ่ม DPI ไปอีกถึง 26,000 DPI ช่วยให้เคลื่อนไหวได้ไหลลื่นไม่มีสะดุดเลยจริงๆ

การจากเล่นเกมทั้งแบบ MOBA หรือ FPS ก็ให้ความรู้สึกที่คล่องมือ ตอบสนองได้รวดเร็ว สามารถปรับ DPI ได้ตามสถานะการณ์รวมไปถึงการตั้งค่ามาโครต่างๆ ก็ช่วยทำให้เล่นเกมได้สะดวกสบายขึ้น แทบจะไม่มีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องความหน่วงมากวนใจ นอกจากนี้ด้วยดีไซน์ของเมาส์ที่ดูเรียบหรูนี้ยังรู้สึกว่าไม่ได้เหมาะกับแค่เกมเมอร์เท่านั้น แต่สำหรับกลุ่มคนทำงานก็ถือว่าตอบสนองและใช้งานได้ดีเช่นกัน โดยเฉพาะการชาร์ทเพียงครั้งเดียวก็ใช้งานได้ทั้งสัปดาห์แบบสบายๆ หรือจะเป็นจำนวนการคลิกที่เพิ่มจากรุ่นก่อน 80 ล้านครั้งมาเป็น 100 ล้านครั้งก็คงจะรู้ถึงความทนทานของเมาส์ตัวนี้กันแล้ว

ส่วนข้อสังเกตของเมาส์ HyperX Pulsefire Haste 2 Wireless คือเรื่องแสงสี RGB อาจจะน้อยไปซักนิด และแสงยังคงมีที่เดียวคือตรง Scroll mouse ส่วนตัวเมาส์พอเป็นสีขาวแล้วก็อาจจะทำให้เลอะง่ายจากคราบเหงื่อต่างๆ เป็นต้น

สามารถติดตามรายละเอียดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของทาง HyperX ได้ที่ https://row.hyperx.com/th

Share

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Stellar Blade x BIBI ปล่อยมิวสิควิดิโอเพลง Eve
ONE PIECE ODYSSEY ปล่อยตัวอย่างใหม่เวอร์ชั่น Nintendo Switch พร้อมโบนัสสั่งซื้อล่วงหน้า
กิจกรรมของ WePlay App ในหัวข้อ WePlay ปาร์ตี้เทศกาลสงกรานต์ ได้รับการโปรโมทบน Apple Store
TSX by Astronize เปิด OBT แล้ววันนี้ แจกหนัก 2,000 TSX TOKEN พร้อมกิจกรรมจัดเต็มเพียบ!
Crime Boss Rockay City ขอบคุณแฟนๆ อัปเดตใหญ่ฉลองยอดผู้เล่นเพิ่มสูงสุดนับตั้งแต่เปิดตัว
Cat Quest III ยืนยันเตรียมวางจำหน่าย 8 สิงหาคม 2024