[Review] HyperX Pulsefire Haste 2 Wireless เมาส์เกมมิ่งไร้สาย น้ำหนักเบา สเปคเจ๋ง

2,732 views
Share

หลังจากที่คราวก่อน HyperX ส่งเมาส์เกมมิ่งไร้สายสุดเบามาให้เราได้ใช้กันไปแล้ว ล่าสุดก็ส่งเมาส์เกมมิ่งไร้สายรุ่นใหม่ เจนเนอเรชั่นที่ 2 อย่าง HyperX Pulsefire Haste 2 Wireless ซึ่งปรับรูปลักษณ์ใหม่เอี่ยมและมาพร้อมกับฟีเจอร์มากมายที่ถูกใจคอเกมเมอร์อย่างแน่นอน

สเปคของเมาส์ไร้สาย HyperX Pulsefire Haste 2 Wireless
– รูปร่าง: Symmetrical (แบบสมมาตร)
– น้ำหนัก 60 กรัม
– อายุแบตเตอรรี่: สูงสุด 100 ชั่วโมง
– เซ็นเซอร์: HyperX 26K Sensor
– ความละเอียด: สูงสุด 26000 DPI
– ค่า DPI ที่ตั้งได้: 400 / 800 / 1600 / 3200 DPI
– ปุ่ม: 6 ปุ่ม
– Speed: 650 IPS
– ความทนทานของปุ่มคลิกซ้าย/ขวา: 100 ล้านครั้ง
– การเชื่อมต่อ: แบบไร้สาย 2.4GHz / Bluetooth 5.0 /และแบบมีสาย
– Cable Type: HyperFlex 2 USB-C to USB-A แบบถอดได้
– ความยาวของสาย: 1.8m

แกะกล่อง
สำหรับกล่องของ HyperX Pulsefire Haste 2 Wireless ในครั้งนี้ยังมาในกล่องที่มีลักษณะคล้ายกับรุ่นแรกคือเป็นกล่องขาว-ดำ ซึ่งแน่นอนว่าต่างกจากรุ่นเก่าๆ ที่เป็นแดงมาซักระยะแล้ว โดยด้านหน้ากล่องมีแสดงรูปของเม้าส์เอาไว้อย่างชัดเจนพร้อมกับคำอธิบายจุดเด่นฟีเจอร์หลักๆ และแน่นอนว่ายังคงสโลกนเดิมคือ “Ultra-Lightweight” บ่งบอกว่าเป็นเมาส์เกมมิ่งที่เบามากๆ รวมถึงยังบ่งบอกว่ายังคงรองรับการใช้งานกับทั้ง PC และเครื่องเล่นเกมคอนโซล ส่วนด้านหลังก็จะมีบอกข้อมูลอุปกรณ์ภายในกล่อง

สำหรับรายละเอียดหน้ากล่องที่แตกต่างจากรุ่นแรกก็คือการระบุเพิ่มเติมในส่วนของการเชื่อมต่อแบบไร้สายที่คราวนี้มีทั้งแบบ 2.4GHz และแบบบลูทูธให้เลือกใช้งานเพิ่มเติม กับการเปลี่ยนแปลงเรื่องของเซ็นเซอร์มาเป็น HyperX 26K Sensor ซึ่งเพิ่ม DPI จากรุ่นที่แล้ว 16,000 มาเป็น 26,000 DPI แล้วนั่นเอง เหมาะกับคนที่ชอบความละเอียดในระดับสูง

ภายในกล่องเมื่อแกะออกมาแล้วจะเห็นเมาส์สีขาวที่บรรจุมาไว้อย่างดี มีกันกระแทกแบบใหม่ที่ดูหรูแต่เรียบ และพบกับความแตกต่างของรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไปจากรุ่นก่อนก็คือที่ตัวเมาส์จะไม่มีการเจาะรูระบายอากาศแล้ว ซึ่งบอกเลยเป็นผลดีสำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องของการไม่ชอบรู หรือคนที่เป็นโรคกลัวรูไปได้อย่างชิ้นเชิง แต่อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะไม่มีรูแล้วแต่ตัวเมาส์ก็ยังมีน้ำหนักเบาเท่าเดิมอยู่ที่ 61 กรัม

ด้านในกล่องยังมีทั้ง USB Receiver ขนาดเล็กที่ทำหน้าที่เป็นตัวรับ-ส่งสัญญาณ WiFi เมื่อเอาไปเสียบกับ PC หรือโน๊ตบุ๊ค แล้วด้วยความที่มีขนาดเล็กกระทัดรัดจึงทำให้ไม่เกะกะและประหยัดพื้นที่อย่างมาก และยังมีแผ่นกันลื่นที่ใช้แปะบนปุ่มกับแถบด้านข้างให้มาด้วยทั้ง PTFE Mouse Skate และ Grip Tape พร้อมกับคู่มือ แล้วยังมีสาย USB-C to USB-A รวมถึงสามารถแปลงเป็น USB-A ได้ โดยสายจะเป็น HyperFlex 2 USB Cable ไว้สำหรับใครที่ต้องการใช้งานแบบเสียบสายกับเสียบชาร์ทแบทนั่นเอง โดยสายจะมีความยาวถึง 1.8 เมตร

ลักษณะรูปร่างของเมาส์
อย่างที่บอกไปแล้วว่า HyperX Pulsefire Haste 2 Wireless จะต่างจากรุ่นแรกตรงที่ตัวเมาส์ไม่มีการเจาะรูแบบรังผึ้งเพื่อระบายอากาศอีกต่อไป แต่จะมีน้ำหนักที่เบาเท่าเดิม โดยจะเป็นผิวเรียบเนียนสีขาวไปด้วยกันและมีการใส่โลโก้ของ HyperX เพิ่มเข้ามาบริเวณด้านท้ายของเมาส์ด้วย ตัวเมาส์มีขนาด M หรือแบบกลาง ซึ่งทำให้จับถนัดมือใช้งานได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง

สำหรับปุ่มกดยังคงวางรูปแบบเอาไว้เหมือนเดิม ซึ่งความรู้สึกในการกดนั้นให้สัมผัสที่ดีมากและมีการตอบสนองที่รวดเร็วฉับไว ด้านบนมีปุ่มคลิ้กซ้าย-ขวาและยังมีปุ่มเล็กๆ ตรงกลางไว้สำหรับปรับ DPI กับปุ่มวงล้อหมุนหรือ Scroll mouse ที่ให้ความรู้สึกเวลาเลื่อนได้แบบมีสเตป ทั้งนี้ตรงตำแหน่ง Scroll mouse จะมีไฟ RGB แสดงอยู่ด้วยเพื่อความสวยงาม ส่วนด้านข้างด้านซ้ายตรงตำแหน่งนิ้วโป้งจะมีปุ่ม 2 ปุ่มให้กดอยู่ด้วย ไว้สำหรับเล่นเกม FPS หรือการตั้งค่ามาโครต่างๆ และสุดท้ายด้านหน้าจะเป็นพอร์ต USB-C ที่เอาไว้ใช้งานสำหรับการเสียบด้วยสายที่ให้มา การเสียบชาร์ทแบทหรือการอัพเฟิร์มแวร์ต่างๆ

สำหรับด้านใต้เมาส์ก็ยังมีการดีไซน์ช่องเอาไว้สำหรับใส่ตัว USB Receiver เพื่อเสียบเอาไว้ทำให้พกพาไปไหนมาไหนได้สะดวกเหมือนกับในรุ่นที่แล้ว ส่วนปุ่มเล็กๆ ที่เอาไว้ปิด/เปิดการใช้งานนั้น ในรุ่นใหม่นี้จะมีให้เราเลื่อนเพื่อใช้ตัวเลือกเพิ่มเติมในส่วนของการใช้แบบไร้สายทั้ง Wireless 2.4GHz หรือ Bluetooth ด้วย

ซอร์ฟแวร์ HyperX NGENUITY
หลายคนที่ใช้ HyperX NGENUITY มาก่อนจะรู้กันดีว่าเป็นซอร์ฟแวร์ที่เราสามารถเข้าไปปรับแต่งการใช้งานเมาส์ของเราได้ ซึ่งในรุ่นใหม่นี้ก็ยังสามารถเข้าไปปรับแต่งกันได้เหมือนเดิม ไม่ว่าจะในเรื่องของการปรับสี RGB ของเมาส์ การปรับลดความสว่าง หรือจะเป็นในส่วนของ Buttons ที่เราสามารถตั้งมาโครปุ่มหรือปุ่มคีย์ลัดต่างๆ ได้ ส่วนตรงหัวข้อ Sensor ก็มีให้เราได้ปรับเลือกค่า DPI settings เอาไว้ใช้งานในแบบที่เราต้องการ

ความรู้สึกหลังการใช้งาน
สำหรับการใช้งาน HyperX Pulsefire Haste 2 Wireless บอกเลยว่าการใช้เมาส์ไร้สายแบบน้ำหนักเบาสุดๆ มันคือสวรรค์อย่างแท้จริง มันช่วยลดในเรื่องของอาการปวดข้อมือไปได้อย่างเหลือเชื่อ ส่วนคนที่ยังเป็นห่วงในเรื่องของสัณญาณว่ามันจะติดขัด หรือมีปัญหาในการใช้งานมั้ย ขอยืนยันเลยว่าหายห่วงได้เลย ยิ่งมีเซ็นเซอร์ตัวใหม่พร้อมกับการเพิ่ม DPI ไปอีกถึง 26,000 DPI ช่วยให้เคลื่อนไหวได้ไหลลื่นไม่มีสะดุดเลยจริงๆ

การจากเล่นเกมทั้งแบบ MOBA หรือ FPS ก็ให้ความรู้สึกที่คล่องมือ ตอบสนองได้รวดเร็ว สามารถปรับ DPI ได้ตามสถานะการณ์รวมไปถึงการตั้งค่ามาโครต่างๆ ก็ช่วยทำให้เล่นเกมได้สะดวกสบายขึ้น แทบจะไม่มีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องความหน่วงมากวนใจ นอกจากนี้ด้วยดีไซน์ของเมาส์ที่ดูเรียบหรูนี้ยังรู้สึกว่าไม่ได้เหมาะกับแค่เกมเมอร์เท่านั้น แต่สำหรับกลุ่มคนทำงานก็ถือว่าตอบสนองและใช้งานได้ดีเช่นกัน โดยเฉพาะการชาร์ทเพียงครั้งเดียวก็ใช้งานได้ทั้งสัปดาห์แบบสบายๆ หรือจะเป็นจำนวนการคลิกที่เพิ่มจากรุ่นก่อน 80 ล้านครั้งมาเป็น 100 ล้านครั้งก็คงจะรู้ถึงความทนทานของเมาส์ตัวนี้กันแล้ว

ส่วนข้อสังเกตของเมาส์ HyperX Pulsefire Haste 2 Wireless คือเรื่องแสงสี RGB อาจจะน้อยไปซักนิด และแสงยังคงมีที่เดียวคือตรง Scroll mouse ส่วนตัวเมาส์พอเป็นสีขาวแล้วก็อาจจะทำให้เลอะง่ายจากคราบเหงื่อต่างๆ เป็นต้น

สามารถติดตามรายละเอียดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของทาง HyperX ได้ที่ https://row.hyperx.com/th

Share

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Lost Soul Aside ปล่อยตัวอย่างเกมเพลย์ใหม่ในงาน ChinaJoy 2024
การกลับมาของราชาหมัดเหล็กสู่ TEKKEN 8 พร้อมทั้งการร่วมพันธมิตรกับ Nike ณ งาน EVO 2024
Bleach: Rebirth of Souls เผยตัวอย่างฉากบู้ในตัวอย่างใหม่ล่าสุด
Rise of the Ronin ปล่อยเวอร์ชัน Demo ให้ทดลองเล่นบน PS5
ONE PIECE ODYSSEY Deluxe Edition พร้อมวางจำหน่ายเวอร์ชั่น Nintendo Switch แล้ว
[Review] SPY X ANYA: Operation Memories