[Review] Street Fighter 6 เกมต่อสู้ที่ปรับเปลี่ยนสไตล์ได้อย่างลงตัวและเหมาะกับผู้เล่นทุกยุคสมัย

3,193 views
Share

อยู่คู่กับวงการเกมต่อสู้มาอย่างยาวนานกับซีรีส์ Street Fighter ที่ไม่ว่าผ่านมากี่ยุคกี่สมัยก็คงครองใจแฟนๆ กันอยู่เหมือนเดิม และล่าสุดทาง Capcom ก็พร้อมวางจำหน่ายภาคใหม่ล่าสุดอย่าง Street Fighter 6 ให้ได้เล่นกันไปเรียบร้อยแล้ว และถือว่าเป็นภาคที่ถูกปรับให้เข้ากับแฟนๆ ในทุกยุคสมัยได้เล่นกันอย่างเมามันส์เลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นวัยเก๋าสมัยควงจอยหรือแฟนรุ่นใหม่ที่เพิ่งหัดเล่นและต้องการความง่ายในการกดคอมโบ บอกเลยว่าเป็นภาคที่ไม่ควรพลาดจริงๆ

ผลงานล่าสุด Street Fighter 6 ที่ Capcom ส่งออกมาในยุคนี้ต้องบอกว่าหมดปัญหาเรื่องกราฟิกและความสวยงามของตัวเกมที่จัดเต็มมาแบบยกเครื่องด้วย RE Engine ทั้งในส่วนของโมเดลตัวละคร แสงสี Effect ของท่วงท่าคอมโบต่างๆ ไปจนถึงความไหลลื่นในการเล่นและการต่อคอมโบรัวชุดใหญ่ โดยเฉาะ Effect ลวดลายของสีแบบหมึกที่หลายคนชื่นชอบถูกนำมาผสมผสานเข้ากับศิลปะสีสันแบบกราฟิตี้เข้าไป บวกกับบีทดนตรีสไตล์ Hiphop ทำให้ทุกอย่างดูลงตัวอย่างมาก และถ้าใครสังเกตดีๆ จะพบว่าทาง Capcom ใส่รายละเอียดไปจนถึงร่องรอยบาดแผลหรืออาการฟกช้ำบนตัวละครด้วย

Street Fighter 6 จะมีโหมดการเล่นหลักออกเป็น 3 โหมดใหญ่ๆ คือ World Tour, Battle Hub, และ Fighting Ground ซึ่งแต่ละโหมดนั้นจะมีรายละเอียดการเล่นที่แยกย่อยออกไปอีก โดยมีเอกลักษณ์และความน่าสนใจที่แตกต่างกัน แต่โดยรวมแล้วมันจะนำพาเรากลับไปสู่แก่นแท้ของสังเวียนการต่อสู้ข้างถนนอย่างแท้จริง สำหรับตัวละครในตอนนี้มีทั้งหมด 18 ตัวละครโดยแบ่งเป็นรุ่นตำนานที่เราคุ้นเคยกันดีอย่าง Ryu, Ken, Chun-Li, Guile, Dhalsim, Blanka, E.Honda, Zangief และตามมาด้วยนักสู้ในช่วงกลางอย่าง Cammy, Dee Jay, Juri, JP ไปจนถึงตัวละครใหม่ที่เป็นเจนล่าสุดอย่าง Lunk, Jamie,Manon, Marisa, Lily ส่วนในอนาคตจะมีนักสู้คนอื่นๆ ตามมาอีกเพียบแน่นอน

World Tour โหมดนี้ถือเป็นตัวชูโรงที่ทาง Capcom ตั้งใจนำเสนอมาโดยตลอดตั้งแต่เปิดตัวเกม โดยโหมดนี้จะให้ผู้เล่นได้สร้างอาวาตาร์หรือตัวละครในแบบของตัวเอง สามารถเลือกเพศ หน้าตา ปรับแต่งรายละเอียดได้อิสระเพื่อนำไปลุยในโลกของนักสู้ข้างถนนแห่งเมือง Metro city ผ่านเนื้อเรื่องแบบเดียวกับเกม 3D ผจญภัยในสมัยใหม่ ให้เราได้สำรวจสถานที่อันกว้างใหญ่ใน Map พูดคุยกับ NPC รับเควสท์ ทำภารกิจต่อสู้กับนักเลงข้างถนน และยังมีโอกาสได้พบกับนักสู้ระดับตำนานของ Street Fighter อีกด้วย

เอาจริงๆ มันเป็นโหมดที่เหมาะกับผู้เล่นหน้าใหม่หรือคนที่ต้องการจะเรียนรู้ระบบของเกมในภาคนี้ เพราะเราสามารถที่จะท้า NPC ที่เดินไปมาเพื่อต่อยตีได้และยังได้ค่าประสบการณ์เอามาอัพเลเวลเพื่อไปปลดล๊อคท่ากับสกิลต่างๆ ได้เช่นกัน แถมยังสามารถเลือกไสตล์การต่อสู้ของตัวละครหลักมาผสมกับท่าของตัวละครหลักอื่นๆ ที่เราต้องการได้ทำให้ตัวละครของเรานั้นมีความโดดเด่นที่ไม่เหมือนกับคนอื่น ซึ่งเราสามารถที่จะนำตัวละครอาวาตาร์ของเราไปใช้ต่อสู้กับผู้เล่นคนอื่นได้ และยังสามารถซื้อเสื้อผ้ากับของตกแต่งต่างๆ ได้เช่นกัน หากเล่นตามเนื้อเรื่องไปเรื่อยๆ เกมจะพาเราออกไปสำรวจสถานที่อื่นๆ ได้ทั่วโลกกันเลยทีเดียว

Battle Hub ส่วนต่อมาที่จะเป็นโหมดสำหรับเอาไว้เล่นออนไลน์ Multiplayer มันเป็นเหมือน Hub หลักที่จะให้เราเอาตัวละครอาวาตาร์ของเราเข้าไปเดินรวมกันอยู่ในล้อบบี้ที่ถูกสร้างมาเหมือนกับร้านตู้เกมอาร์เคดขนาดใหญ่ มีทั้งลานตรงกลางไว้ท้าสู้ มีจอขนาดใหญ่ไว้นั่งดูการแข่งขันในอนาคต มีตู้เกมอาร์เคดให้เราได้เล่นเกม Street Fighter ภาคเก่าๆ สุดคลาสิกในอดีตด้วย เช่น Street Fighter II หรือ Street Fighter Puzzle เป็นต้น เท่านั้นยังไม่พอ มีแม้กระทั่งร้านขายเครื่องแต่งกายที่จับมือกับแบรนด์แฟชั่นชั้นนำในโลกจริงด้วย ทั้งนี้ผู้เล่นจะต้องทำการสมัคร Capcom ID เอาไว้ก่อนถึงจะเข้ามาเล่นในโหมดนี้ได้ ส่วนคนที่กังวลเรื่องปิงสูง ทางทีมงานก็มีการเปิดใช้ Rollback Netcode มาช่วยทำให้การดวลแบบออนไลน์นั้นไหลลื่นขึ้น เชื่อว่าโหมดนี้เป็นการสนับสนุนการแข่งขัน esports ของเกมนี้ได้อย่างดีเลยทีเดียว

Fighting Ground จัดว่าเป็นโหมดคลาสิกของตัวเกมที่รุ่นเก๋าคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี เพราะมันจะมีพวกโหวดย่อยรวมอยู่ในนี้อีกเพียบ ทั้ง ARCADE ที่เอาไว้เล่น Story หรือจะพวก PRACTICE ฝึกสอน VERSUS ไว้ดวลหนึ่งต่อหนึ่งเรื่องเป็นทีมไปจนถึงพวการเล่นออนไลน์ใน SPECIAL MATCH, ONLINE สำหรับ Story นั้นจะเป็นเรื่องราวสั้นๆ ของตัวละครแต่ละตัวที่เล่าผ่านคัทซีนงานภาพวาดและคำบรรยายแบบสั้นๆ ที่เราจะต้องเล่นให้จบทุกตัวละครเพื่อดูเรื่องราวล่าสุดและการปลดล๊อคภาพอาร์ตต่างๆ ส่วนโหมดต่อสู้อื่นๆ ก็คุ้นเคยกันดีอยู่แล้วทั้งการดวลกับเพื่อนในที่เดียวกันแบบ Local ไปจนถึงดวลกับคนอื่นแบบออนไลน์

ใน Street Fighter 6 มันจะมีความพิเศษอยู่อีกอย่างคือเรื่องของการกดปุ่ม ที่ทาง Capcom มีการออกแบบมาให้ผู้เล่นในทุกยุคทุกสมัยได้บังคับและกดคอมโบกันได้ตามความสะดวกและฝีมือของแต่ละคน โดยสามารถปรับเปลี่ยนไปมาได้ทุกเมื่อ มันจะแบ่งออกเป็น 3 แบบคือ การควบคุมแบบ Classic ที่ต้องกดท่ากันเหมือนกับในภาคเก่าๆ อาศัยการควงปุ่มกันเหมือนเดิมกับอีกอย่างคือ Modern ระบบการควบคุมแบบง่ายที่สามารถออกท่ายากๆ ได้ด้วยการกดปุ่มเพียงแค่ปุ่มหรือ 2 ปุ่มเท่านั้น กับสุดท้าย Dynamic เป็นการควบคุมแบบอัตโนมัติที่จะออกท่าต่างๆ ให้เองตามระยะของศัตรู ใครชอบแบบไหนก็ลองไปเลือกใช้กันได้เลย

พูดถึงการต่อสู้แล้วในภาคนี้มีการเพิ่มระบบ Drive เข้ามาด้วย จะเป็นเกจสีๆ ใต้หลอดเลือดของผู้เล่นที่จะมาทำให้ตัวละครของเราสามารถใช้ท่าที่จะมาพลิกแพลงสถานการณ์ได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งแบ่งออกเป็นท่า Drive Impact เอาไว้โจมตีหนักหรือพลักศัตรูให้ออกห่างจากตัว และยังมีท่า Drive Rush ที่เป็นออร่าสีเขียวเพื่อเอาไว้สำหรัยยกเลิกอนิเมชั่นการเคลื่อนไหวของตัวละครให้สั้นลงเพื่อเอาไว้ต่อคอมโบได้ง่ายขึ้น กับ Drive Parry ที่เป็นท่าเอาไว้ปัดป้องท่าของศัตรูได้แบบง่ายดาย

สรุปโดยรวมแล้ว Street Fighter 6 ถือเป็นภาคที่ผู้เขียนกลับมาเล่นแล้วประทับใจมากๆ มันมีหลากหลายสไตล์และความสนุกให้เราได้เลือกเล่น ไม่ว่าจะเดินทำภารกิจฝึกฝนตัวละครใน World Tour หรือการไปดวลกับคนอื่น แต่งตัวซื้อของหรือนั่งเล่นเกมตู้ของภาคเก่าๆ ใน Battle Hub หรือการเล่นในแบบอารมณ์เก่าๆ ของ Fighting Ground ที่คุ้นเคย และที่ขาดไม่ได้คือระบบการต่อสู้กับการบังคับที่ทำให้การควบคุมใช้ท่ายากๆ แบบมือโปรนั้นไม่ยุ่งยากอีกต่อไป ขอยกให้เป็นเกมต่อสู้ยอดเยี่ยมประจำปีนี้กันไปเลยครับ

Share

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Beyblade X: XONE ได้มีการประกาศเตรียม Nintendo Switch และ PC
Umbraclaw เกมสุดคลาสสิกเปิดเผยตัวอย่าง Cast Showcase
The Casting of Frank Stone ปล่อยคลิปตัวอย่างใหม่พร้อมเผยภาพเพิ่มเติม
เปิดตัว DreadOut Remastered Collection เวอร์ชั่น PS5 และ Switch
Fabledom เตรียมวางจำหน่ายให้เล่นบน PS5, Xbox Series และ Switch ช่วง Q3 2024
Ubisoft ยืนยันชื่อภาคต่อไป Assassin’s Creed Shadows เตรียมลุยญี่ปุ่น