[Review] FINAL FANTASY XVI กับเส้นทางใหม่ที่เรื่องราวจริงจังขึ้นและแอคชั่นเดือดแบบถึงใจ

16,501 views
Share

ซีรีส์ FINAL FANTASY ถือเป็นอีกหนึ่งเกม RPG ระดับตำนานที่อยู่คู่กับเกมเมอร์มาเรียกว่าทุกยุคทุกสมัย ซึ่งตัวเกมในแต่ละภาคเองก็มีการเปลี่ยนแปลงและมีการพัฒนาในด้านต่างๆ ออกมาอยู่เสมอ โดยล่าสุดก็เดินทางมาถึง FINAL FANTASY XVI หรือ FF16 กันแล้วและตัวเกมก็ออกมาวางจำหน่ายให้ทุกคนได้สัมผัสไปเรียบร้อยแล้วด้วย ซึ่งในภาคใหม่นี้เองมีหลายอย่างที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากๆ ซึ่งวันนี้เราจะมารีวิวรายละเอียดของเกมและความรู้สึกหลังจากที่ได้เล่นมาให้อ่านกันครับ

ก่อนอื่นต้องบอกว่า Square Enix นั้นจัดเต็มทั้งกราฟิก เกมเพลย์ และเรื่องราวของซีรีส์ FINAL FANTASY มาให้แฟนๆ ได้เล่นกันอยู่ตลอด ซึ่งในภาคนี้บอกเลยว่าทุกอย่างถูกยกระดับไปอีกขั้นไม่ว่าจะการเล่าเรื่องที่มีทั้งฉากสะเทือนใจ ความรุนแรง หรือแม้กระทั้งมีฉากฮีโรติกอยู่บ้าง จนทำให้เกมถูกจัดอยู่ในเรท M เลยทีเดียว โดยทุกอย่างมีที่มาที่ไปและมันยิ่งทำให้ FINAL FANTASY XVI เป็นเกมที่เติบโตขึ้นและมีความเป็นผู้ใหญ่ขึ้นนั่นเอง

เรื่องราวของเกมนี้แบบที่ไม่สปอยและขอพูดถึงแค่เพียงการกล่าวถึงจากเว็บไซต์หลักระบุว่า มันจะเป็นเรื่องราวการผจญภัยครั้งใหม่ในจักรวาลเกม FINAL FANTASY ผ่านมหากาพย์โลกดาร์คแฟนตาซีที่เกิดขึ้นในดินแดนวาลิสเธีย (Valisthea) ดินแดนที่ได้รับพรแห่งแสงจากมาเธอร์คริสตัล (Mothercrystal) ซึ่งความสงบสุขกำลังถูกสั่นคลอนด้วยการรุกรานของ Blight ที่ต้องการทำลายอำนาจการปกครอง ส่วนชะตากรรมของดินแดนถูกตัดสินโดยไอคอน (Eikon) สัตว์อัญเชิญอันทรงพลังที่อยู่ภายในตัวของโดมิแนนท์ (Dominant) เหล่าชายและหญิงที่ได้รับพรให้สามารถอัญเชิญและควบคุมพวกมันเพื่อเผชิญหน้ากับภยันตราย โดยมีตัวเอกคือ ไคลฟ์ รอสฟิลด์ (Clive Rosfield) นักรบผู้ได้สมญานามว่า “First Shield of Rosaria” และให้สัตย์สาบานว่าจะปกป้องโจชัว (Joshua) น้องชายของเขา ผู้เป็นโดมิแนนท์ของไอคอนฟีนิกส์ ไอคอนแห่งไฟ ซึ่งอีกไม่นานไคลฟ์จะต้องเผชิญกับโศกนาฎกรรมครั้งใหญ่และสาบานว่าจะแก้แค้นดาร์คไอคอน (Dark Eikon) ที่รู้จักกันในนามอีฟริท (Ifrit) สิ่งมีชีวิตลึกลับที่นำหายนะมาสู่ดินแดน

จากที่ได้เล่นมาในเกมเราจะได้เล่นเป็น Clive Rosfield เท่านั้น ผ่านช่วงเวลาต่างๆ ที่แบ่งเป็นตอนเด็ก ตอนวัยหนุ่ม และตอนเป็นหนุ่มใหญ่ ที่จะเกี่ยวข้องกับพวกการเมือง สงคราม และการต่อสู้ระหว่างโดมิแนนท์อันเข้มข้น ซึ่งแน่นอนว่าในเกมจะมีบทพูดและมีคัทซีนเยอะมากๆ ทั้งในส่วนของเนื้อเรื่องเองและในส่วนของการพูดคุยกับ NPC ชาวเมืองธรรมดา เรียกว่าใครที่ไม่เก่งภาษานี่อาจจะเป็นงงเอาได้ง่ายๆ แถมคำศัพท์ที่ใช้ยังเป็นแบบจักรๆ วงศ์ๆ เล่นเอาปวดหัวตึ้บเลยทีเดียว นั่นเพราะว่าธีมเรื่องในเกมจะเป็นดาร์คแฟนตาซีแบบยุโรปยุคกลาง จนหลายคนต้องแอบแซวว่านี่มัน Game of Thrones ชัดๆ สำหรับใครที่งงไปกับเรื่องราวจริงๆ ในเกมก็มี NPC ที่คอยสรุปเรื่องราวและให้ข้อมูลเกี่ยวกับแผนผัง NPC กับความเชื่อมโยงของอาณาจักรต่างๆ ให้อ่านกันด้วย (ถ้าขยันอ่านอ่ะนะ)

ทางด้านของเกมเพลย์นั้นใครที่ได้ลอง Demo มาแล้วจะเห็นชัดเลยว่าตัวเกมมันดาร์คจริงๆ และจริงจังเข้มข้นเอาเรื่อง เหมาะกับเรท M ที่ได้มา ด้วยความที่ตัวเกมไม่ได้เป็น Open World แต่เป็น Action RPG แบบเส้นตรงมันจึงไม่มีอะไรซับซ้อนนัก เราจะได้คุยๆ กับ NPC รับเควสท์เสริม ทำเควสท์เนื้อเรื่องแบบไปเรื่อยๆ ตรงๆ สลับกับการต่อสู้กับมอนสเตอร์และศัตรู แล้วจึงวนเข้าคัทซีน ไปแบบนี้เรื่อยๆ จนจบเกม ในเรื่องของการต่อสู้ในภาคนี้จัดว่าเป็น Action แบบเน้นๆ รวดเร็วฉับไว ไม่เหมือนกับ FF7 Remake ที่เล่นกันมาก่อน เพราะมันมีเรื่องของการโจมตี การหลบ การสวนกลับ การกดท่าสกิลเพื่อให้เป็นคอมโบ ให้ความรู้สึกแบบ Devil May Cry แต่ง่ายกว่ามาก การใช้ท่าหรือสกิลต่างๆ นั้นสามารถกดใช้มันได้ตลอดโดยคำนึงแค่เพียงคูลดาวน์เท่านั้น และแน่นอนว่ามันมีฉากต่อสู้ในระหว่างที่เป็น Eikon หรือสัตว์อสูรด้วย โดยมีท่าการกดต่างๆ ที่คล้ายๆ กับร่างคนปกติ ซึ่งจะมีปุ่มให้กดแบบ Quck Time Event บ้างในบางจังหวะ โดยรวมแล้วเป็น Action ที่กดใช้งานง่ายไม่มีอะไรซับซ้อนนั่นเอง

ในส่วนของสกิลต่างๆ นั้นจะมีค่า AP เอาไว้ให้เราเอาไปใช้ โดยจะรวมอยู่เป็นค่า AP กลางแล้วเรานำไปใช้อัพสกิลในแต่ละสายอีกทีหรือถ้าคิดไม่ออกว่าจะอัพอะไรตัวเกมก็มีปุ่มเลือกอัพแบบแนะนำออโต้ให้ด้วย ใครอยากให้ท่าไหนโหดขึ้นก็เลือกอัพท่านั้นไปเลยตรงๆ เช่นเดียวกันกับพวกอาวุธและชุดเกราะที่เหมือนกับภาคนี้จะไม่ได้ให้ความสำคัญอะไรกับการอัพเกรดมาก เราสามารถอัพเกรดได้ที่ช่างตีเหล็กในเมืองกับสร้างขึ้นมาได้ โดยไม่มีอะไรซับซ้อนเช่นกัน ดูง่ายๆ แค่ค่าตัวเลขสถานะที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น อาวุธจะมีค่า Attack กับ Stagger และกำไลกับเข็มขัดจะมีค่า Hit Point กับ Defend ซึ่งเท่าที่เห็นมีแค่เครื่องประดับที่จะมีพวกสเตตัสหรือความสามารถพิเศษเพิ่มมา เช่นเพิ่มพลังให้กับท่าสกิล หรือแม้กระทั่งบางชิ้นที่ใส่แล้วจะช่วยทำให้เล่นง่ายขึ้นอย่างหลบให้อัตโนมัติ หรือฮีลให้อัตโนมัติ เป็นต้น การโจมตีศัตรูที่น่าสนใจในภาคนี้ก็คือเรื่องของค่า Staggered ที่ยิ่งเราโจมตีใส่ศัตรูหนักเท่าไหร่เกจสีเหลืองใต้หลอดเลือดจะลดลงจนส่งผลให้ศัตรูเข้าสู่สภาวะหยุดชะงักมึนงงชั่วขณะเพื่อให้เรากระหน่ำโจมตีได้แบบรุนแรง

มาดูในเรื่องราวของกราฟิกหรือ Performance กันบ้าง ต้องบอกเลยว่ากราฟิกใน FINAL FANTASY XVI นั้นสวยงามและน่าตื่นตาตื่นใจไปกับการออกแบบเสียจริงๆ ทั้งรายละเอียดตัวละคร สภาพแวดล้อมของสถานที่ต่างๆ หรือความอลังของอสูร Eikon แต่ก็แอบเซ็งๆ ตรงที่บรรยากาศพวกในเมืองมันดูแห้งๆ บวกกับฉากในแผนที่ดูเหงาอ้างว่างยังไงก็ไม่รู้ แถมตัวเกมใช้ระบบแผนที่ให้เราสามารถกดเลือกไปยังจุดต่างๆ ได้เลยด้วยการ Fast Travel มันเลยตัดเรื่องของความอิสระในการสำรวจพื้นที่ต่างๆ ออกไป แม้ว่าบางฉากมันจะกว้างใหญ่ก็ตามที โดยตัวเกมบน PS5 นี้จะมีให้เลือกใช้งานโหมดกราฟิก 2 โหมดคือ Quality ที่มีเฟรมเรท 30 FPS กับ Performance ที่เล่นได้ไหลลื่นขึ้นแต่เทกเจอร์ดูแย่ลง

สรุปภาพรวมของ FINAL FANTASY XVI ยังไงใครที่เป็นแฟนของซีรีส์นี้ก็ต้องหามาเล่นกันอยู่แล้ว แค่หลายๆ อย่างมันเปลี่ยนไป ไม่มีระบบอาชีพ ไม่มีการบังคับตัวละครเพื่อนในทีม ฉากพูดคุยเยอะแบบจัดเต็มไปหน่อย แต่ในเรื่องการ Action ต่อสู้ก็ดุเดือดและเข้าใจง่ายไม่ซับซ้อน กราฟิกสวยงามมากบวกกับฉากการต่อสู้ของอสูร Eikon ก็ยิ่งใหญ่อลังการไม่แพ้กัน เพลงประกอบก็ทำมาดี เล่นจบมี Newgame+ มาให้ลุยกันต่อกับระดับการเล่นที่ยากและท้าทายขึ้น เอาจริงๆ ภาพรวมของเกมก็เหมือนเป็นจุดเริ่มต้นกับการทำอะไรใหม่ๆ ของซีรีส์นี้ให้ทางทีมพัฒนาได้เอาไปปรับปรุงกับต่อยอดในภาคต่อไปได้ดีอยู่เหมือนกันนะ เพราะบอกตรงๆ ว่าแฟนรุ่นเก่าอาจจะมีไม่ถูกใจอยู่บ้างกับภาคนี้

Share

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Dragon Ball: Sparking! ZERO ปล่อยตัวอย่างใหม่ในชื่อ Master and Apprentice
Star Wars: Hunters สงครามจักรวาลเปิดตัว 4 มิถุนายนนี้แล้ว
[Review] Dragon’s Dogma II
SEGA ส่งโปรลดราคาพิเศษ Golden Week Sale บน Steam
Street Fighter 6 เตรียมส่งตัวละคร Akuma เข้าร่วมสังเวียน 22 พฤษภาคม 2024
Assassins Creed Mirage เปิดตัวบน iOS วันที่ 6 มิถุนายน