[Review] God of War Ragnarok จัดเต็มยิ่งใหญ่ บทสรุปการเดินทางในตำนานเทพนอร์ส

1,507 views
Share

ตั้งแต่ที่ God of War เวอร์ชั่นปี 2018 ถูกรีบูตและนำเอาการผจญภัยสู่โลกใหม่ของ Kratos มาให้พวกเราได้เล่นกันในดินแดน Midgard พร้อมๆ กับเรื่องราวของลูกชาย Atreus ก็ทำให้เราได้เห็นอะไรใหม่ๆ และทิศทางที่น่าสนใจของซีรีส์ God of War จนแอบหนักใจแทนทีมพัฒนาอยู่เหมือนกันว่าถ้าทำภาคต่อของเกมนี้ออกมาอีกมันจะยิ่งใหญ่ไปได้ขนาดไหนในเมื่อตัวเกมของปี 2018 ทำเอาไว้ดีมากๆ ในหลายๆ ด้าน จนในที่สุด Santa Monica Studio ก็ส่งภาคต่ออย่าง God of War Ragnarok ออกมาให้เราได้สานต่อความมันส์กันแล้ว วันนี้เราจะไปพูดถึงรายละเอียดของเกมในภาคนี้และความรู้สึกหลังจากที่เล่นเกมนี้ไปจนจบแล้วมาให้อ่านกันครับ

God of War Ragnarok มันคือเกมที่จะมาสานต่อเรื่องราวจากฉากจบเมื่อปี 2018 ซึ่งจะเล่าถึง 3 ปีต่อมาหลังจากที่เราได้สังหาร Baldur ไปแล้ว แน่นอนว่ามันส่งผลกระทบไปยังอาณาจักรทั้ง 9 โดยเฉพาะใน Midgard ที่ฤดูหนาวเกิดขึ้นอย่างยาวกว่า 3 ปี โดยเหตุการณ์ Fimbulwinter นี้ก็ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของมหาสงคราม Ragnarok ตามคำทำนายของยักษ์ที่ได้ระบุไว้ถึงวันสิ้นโลก จากฉากจบในภาคที่แล้วเราก็คงจะเห็นกันแล้วว่า Thor เดินทางมาถึงบ้านของสองพ่อลูก ซึ่งเรื่องราวของภาคนี้ก็จะเริ่มขึ้นสานต่อไปจากตรงนี้เลย ดังนั้นเตรียมใจกันได้เลยว่า God of War Ragnarok จะเป็นภาคปิดตำนานเทพ Norse ที่เดือดและยิ่งใหญ่สุดๆ แน่นอน

เรื่องราวในภาคนี้ขอไม่พูดถึงกันมากนะครับเพราะอยากให้แต่ละคนได้ไปเล่นกันเอาเอง และขอไม่สปอยใดๆ หากใครที่จำเหตุการณ์ในภาคที่แล้วไม่ได้ก่อนเริ่มเกมก็จะมีเมนูคัทซีนให้ย้อนรำลึกความหลังกันได้ แต่ถ้าไม่เคยเล่นมาก่อนนี่อยากจะแนะนำให้ไปหาภาคที่แล้วมาเล่นก่อนเลย เพื่อที่จะได้เข้าถึงตัวละคร เนื้อเรื่อง และข้อมูลต่างๆ ของเกม โดย God of War Ragnarok จะนำเสนอเรื่องราวบทสรุปในการเดินทางของสองพ่อลูก ความสัมพันธ์ ความเชื่อใจ และการเสียสละ และอีกหลายๆ อารมณ์ที่เราไม่เคยได้เห็นจากในซีรีส์นี้ ไปจนถึงบทสุดท้ายของการหยุดยั้ง Ragnarok ผ่านเนื้อเรื่องแบบเข้มข้นและจัดเต็มสุดๆ

สำหรับงานภาพกราฟิกในภาคนี้หลายคนคงจะได้เห็นมาจากเกมเพลย์ต่างๆ กันแล้วว่ามันดูคล้ายๆ และไม่ต่างจาก God of War 2018 แต่หลังจากที่ได้เล่นแล้ว บอกเลยว่าทุกอย่างอลังการและสวยงามมากๆ พวกแสงเงากับเทกเจอร์และการใส่รายละเอียดในฉากถ้ามองดีๆ แล้วจะดีขึ้นกว่าเดิมพอสมควร การออกแบบฉากและสภาพแวดล้อมของอาณาจักรทั้ง 9 จะมีสถานที่ใหม่ๆ ให้เราได้สำรวจความยิ่งใหญ่และความสวยงามกันไม่มีเบื่อ ทั้งในแผ่นที่โลกเปิดกว้าหรือการลงไปยังสถานที่โบราณต่างๆ ยิ่งถ้าได้เล่นบน PS5 แล้วจะเห็นได้ชัดเจนในเรื่องกราฟิกและความลื่นไหล ซึ่งตัวเกมมีการลงให้กับ PS4 และมีการลดรายละเอียดในส่วนกราฟิกลงไปบ้างแต่งานภาพก็ถือว่าสอบผ่าน เว้นเสียแต่ว่าอาจจะทำให้พัดลมบนเครื่องทำงานหนักไปบ้าง

นอกจากฉากกับสภาพแวดล้อมต่างๆ ในเกมแล้ว สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนชอบมาก็คือเรื่องของรายละเอียดพวกอาวุธ ชุดเกราะ ไม่ว่าจะเป็นรายละเอียดเทกเจอร์ การใส่เติมแต่งอักษรรูน แถมละเอียดไปจนถึงร่องรอยขีดข่วนการใช้งาน ทั้งขวาน Leviathan Axe และ Blade of Chaos ไปจนถึงธนูกับอาวุธอื่นๆ ของตัวละครทั้งหมดในเกม แถมชุดเกราะในภาคนี้ก็มีให้เราได้ใช้งานกันหลากหลายแบบด้วย สำหรับในส่วนของเสียงก็ทำได้ดีเช่นกัน ทั้งเสียงสภาพแวดล้อม เสียงของการใช้อาวุธในการต่อสู้ เสียงเพลงประกอบ โดยเฉพาะเสียงในฉากใหญ่ๆ อย่างการต่อสู้กับบอสที่ถ้าใครมีหูฟังดีๆ บอกเลยว่าเสียงแน่นและสะใจมาก อย่างต่อมาที่คงจะถูกใจหลายคนก็คือเรื่องของการแปลภาษาไทยที่ถือเป็นครั้งแรกของซีรีส์นี้ โดยการแปลการใช้คำต่างๆ ถือว่าทำออกมาได้ตามมาตรฐานของทาง Sony ที่แปลให้กับเกมใหญ่ๆ ไปก่อนหน้านี้ โดยรวมภาษาไทยบอกเลยว่าดีงาม ทั้งบทพูดและเมนูต่างๆ แม้จะมีบางจุดที่ผิดหรือต้องแก้ไขอยู่บ้างแต่เชื่อว่าเดี๋ยวจะมีแพทช์แก้ไขออกมาแน่นอน

ในส่วนของเกมเพลย์นั้นถ้าใครที่เล่นภาคที่แล้วมาก่อนก็เข้าใจได้ไม่ยาก ช่วงแรกๆ ก็เหมือนเดิมทำภารกิจกับลุยแหลก ไปจนถึงแกปริศนาต่างๆ จนเมื่อเล่นไปตามเนื้อเรื่องแล้วก็จะมีอะไรใหม่ๆ ให้เราค่อยๆ ได้เรียนรู้กันไป อาวุธหลักช่วงต้นเกมก็จะเป็นขวานกับดาบโซ่เหมือนเดิม แต่มันได้ถูกเพิ่มรายละเอียดเข้ามาในพวกของรูนหรือการเพิ่มท่าทาง สกิล ทักษะและความสามารถต่างๆ เพื่อทำให้มีการโจมตีที่หลากหลายขึ้น มีสกิลใหม่ๆ ให้เราได้ปลดออกมาใช้งาน แม้กระทั่งในส่วนของโล่เองก็ไม่ได้เอาไว้ใช้ป้องกันหรือ parry เท่านั้น แต่ในภาคนี้มันยังถูกใช้งานในรูปแบบของการโจมตี การชาร์ทพลังใส่โล่ หรือการช่วยเพิ่มค่าสถานะต่างๆ เป็นต้น

ประเภทของศัตรูที่ในภาคที่ผ่านมาถูกมองว่าซ้ำซากมีไม่กี่แบบ ภาคนี้ก็มีการเพิ่มความหลากหลายเข้าไป มีรูปแบบของการโจมตีที่มากขึ้น ให้เราได้ศึกษาการเคลื่อนไหว หรือมองหาจุดอ่อน มีทั้งพวกโจมตีประชิด โจมตีจากระยะไกล หรือแม้กระทั่งการโจมตีด้วยสถานะพิเศษต่างๆ การสู้กับมินิบอสก็สนุกและดุดันขึ้น ส่วนการสู้กับบอสใหญ่ๆ ก็ดูอลังการและจริงจังขึ้นกว่าเดิม พวกท่าสังหารหรือท่าปิดในภาคนี้ก็ยังโหดเลือดสาด ฟันเละเป็นชิ้นๆ กันเหมือนเดิมแถมยังแตกต่างไปตามอาวุธที่เราใช้ด้วย เอาเป็นว่าใครที่ชอบเกมต่อสู้หนักๆ และมันส์สะใจกับการใช้คอมโบและความคิดบอกเลยว่าต้องชอบอย่างแน่นอน

สรุปภาพรวมแล้ว God of War Ragnarok ยังเป็นเกมที่ยิ่งใหญ่และน่าเล่นอยู่เหมือนเดิม แม้อะไรหลายๆ อย่างจะไม่ต่างจากในภาคที่แล้ว แต่มันก็คือการสานต่อ การปรับปรุง และการนำพาอะไรใหม่ๆ มาให้เราได้สนุกกัน ตลอดเวลากว่า 40 ชั่วโมงที่เล่นจบผู้เขียนมีความสนุกไปกับตัวเกมทั้งในด้านเกมเพลย์ การต่อสู้ ฉากสถานที่ต่างๆ อันยิ่งใหญ่ และที่ขาดไม่ได้คือเนื้อเรื่องที่มีมิติและมีหลายๆ อารมณ์ให้เราได้รู้สึก พร้อมกับความสงสัยว่า God of War มันยังเดินต่อไปได้อีกถึงไหน เรื่องราวตำนานของเทพแห่งสงครามจะเป็นอย่างไรต่อไป ดังนั้น God of War Ragnarok คือเกมที่ไม่ควรพลาดจริงๆ ครับ

Share

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Inti Creates Gold Archive Collection ประกาศเปิดตัวลง Nintendo Switch
Hunter x Hunter: Nen x Impact ปล่อยตัวอย่างแรกให้ชม
BlizzCon 2024 ประกาศยกเลิกจัดงาน
Stellar Blade พร้อมวางจำหน่ายให้ไปลุยกันแล้วบน PS5
TSX by Astronize : แนวทางการเก็บเลเวล เลเวลขึ้นไว เก่งแบบง่ายๆ ในสไตล์ TSX
Thalassa: Edge of the Abyss เตรียมวางจำหน่ายบน PC Steam 18 มิถุนายนนี้